เรื่อง: การพัฒนากำลังพลตามแนวทางรับราชการ สำหรับนายทหารชั้นสัญญาบัตรระดับต้นของกองบัญชาการกองทัพไทย,Personnel Career Development for the beginning officers in Royal Thai Armed Forces Headquarter
|
|
หมวดหมู่:
|
งานวิจัย
|
มิติ:
|
ไม่ระบุ/not specified
|
พื้นที่/ขอบเขต:
|
ภายในประเทศ/Domestic/Local
|
ผู้เขียน:
|
วิทยาลัยเสนาธิการทหาร, พ.อ. สมเจษฎ์ สุนทรธรรม
|
หน่วยงานเจ้าของ:
|
วิทยาลัยเสนาธิการทหาร
|
ปีที่พิมพ์:
|
2560
|
จำนวนหน้า:
|
|
การเปิดเผยข้อมูล:
|
เปิดเผยเฉพาะบางส่วน (ไม่เปิดเผยเนื้อหา)
|
|
บทคัดย่อ:
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง : การพัฒนากำลังพลตามแนวทางรับราชการ สำหรับนายทหารชั้นสัญญาบัตรระดับต้น
ของกองบัญชาการกองทัพไทย
โดย : พันเอก สมเจษฎ์ สุนทรธรรม
สาขาวิชา : วิศวกรรมไฟฟ้า
อาจารย์ที่ปรึกษาเอกสารวิจัย : พันเอก
(……………………………….)
เมษายน ๒๕๖๒
การวิจัยเรื่อง “การพัฒนากำลังพลตามแนวทางรับราชการ สำหรับนายทหารชั้นสัญญาบัตร
ระดับต้นของกองบัญชาการกองทัพไทย”เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา
การพัฒนากำลังพลตามแนวทางรับราชการของกองบัญชาการกองทัพไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันศึกษา
แนวทางการพัฒนากำลังพลระดับนายทหารสัญญาบัตรของเหล่าทัพและเพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบ
การพัฒนากำลังพลตามแนวทางรับราชการสำหรับนายทหารชั้นสัญญาบัตรระดับต้นของกองบัญชาการ
กองทัพไทย การวิจัยครั้งนี้ใช้การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง การมอบนโยบาย
จากผู้บังคับบัญชา และการสนทนากลุ่ม โดยกลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือผู้บัญชาการทหารสูงสุด
เสนาธิการทหาร และตัวแทนกำลังพลในกองบัญชาการกองทัพไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน ๕๕ นาย
ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่าการพัฒนากำลังพลของกองบัญชาการกองทัพไทย สำหรับ
นายทหารสัญญาบัตรระดับต้นควรมีการจัดทำหลักสูตร “การปฏิบัติการร่วม”;เป็นหลักสูตรกลาง
ซึ่งเห็นสมควรให้มีการจัดทำหลักสูตรที่มุ้งเน้นการพัฒนากำลังพลตามระบบสมรรถนะ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งสมรรถนะหลัก (Core Competency) ซึ่งได้แก่เสียสละ (Sacrifice) มีคุณธรรม (Moral) ดำรงความ
ถูกต้องพร้อมรับผิด (Accountability) มุ่งมั่นในผลสัมฤทธิ์เ(ResultgOriented)เร่วมคิดทำงานเป็นทีม
(Teamwork)เและสมรรถนะทางการบริหาร (Managerial Competency) ซึ่งของกองบัญชาการกองทัพไทยมี๑๐ด้าน ได้แก่ความเป็นผู้นำ (Leadership) วิสัยทัศน์ (Vision) การวางแผนยุทธศาสตร์
(Strategic Planning) ศักยภาพเพื่อนําการเปลี่ยนแปลง (ChangeLeadership) การสอนงานและการ
มอบหมายงาน (Coachingand Delegation) การควบคุมตนเอง (Self Control) การแก้ไขปัญหาและ
การตัดสินใจ(Problem Solving and Decision Making) การควบคุมกำกับติดตามและประเมินผลงาน
(Monitoring;Contro;and;Evaluation) การบริหารและจัดสรรทรัพยากร (Administration;and
Resource;Allocation);และการสั่งการตามอำนาจหน้าที่ (Holding;People;Accountable) เป็นพื้นฐานก่อน
แล้วจึงไปเพิ่มพูนความรู้ตามสายวิทยาการ/สายงานรวมถึงการพัฒนากำลังพลในระดับที่สูงขึ้นต่อไปและ
เนื้อหาของหลักสูตรการปฏิบัติการร่วมควรประกอบด้วยการอำนวยการและการปฏิบัติการร่วม/ผสม
พื้นฐานการปฏิบัติการทางทหารของเหล่าทัพการศึกษาดูงานนอกสถานที่/ต่างประเทศ
ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษการเขียนหนังสือราชการยุทธศาสตร์ชาติเทคโนโลยี
สารสนเทศการติดต่อสื่อสารและการประสานงานประเด็นอื่นๆ เช่น ประวัติศาสตร์ การปลูกฝัง
อุดมการณ์ความรักชาติ ภาวะผู้นำจิตอาสา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และงบประมาณ เป็นต้น
ข้อเสนอแนะในการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการพัฒนากำลังพลตามแนวทาง
รับราชการ สำหรับนายทหารชั้นสัญญาบัตรระดับต้นของกองบัญชาการกองทัพไทย ดังนี้
๑. ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองบัญชาการกองทัพไทย ต้องให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
และต่อเนื่อง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย วางแนวทาง กำกับดูแล ติดตามการ
ดำเนินงานอย่างใกล้ชิด และประเมินผลการดำเนินงานอย่างจริงจัง
๒. ในการจัดทำหลักสูตรการปฏิบัติการร่วม หรือหลักสูตรกลางควรกำหนดเนื้อหาให้มี
ความเหมาะสม สอดคล้องกับพันธกิจ ภารกิจ และสามารถเทียบเคียงกับหลักสูตรของ เหล่าทัพ เพื่อให้
กำลังพลของกองบัญชาการกองทัพไทย มีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จำเป็น สามารถแข่งขัน
และปฏิบัติงานร่วมกับกำลังพลจากเหล่าทัพได้
๓. นอกจากการจัดทำหลักสูตรตามแนวทางรับราชการของกองบัญชาการกองทัพไทย
หรือหลักสูตรการปฏิบัติการร่วมเพื่อพัฒนากำลังพลให้ตรงตามสมรรถนะหลัก (Core Competency)
สายวิทยาการทั้ง ๒๓ สายวิทยาการ ควรมีการพัฒนากำลังพลในสายวิทยาการให้มีความรู้ ความสามารถ
ให้ตรงตามสมรรถนะในการปฏิบัติงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบ (Functional Competency) ควบคู่กันไป
ด้วย๔. ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ควรปรับปรุงแก้ไขระเบียบ และเงื่อนไขการปรับย้าย
ให้มีความสอดคล้อง รองรับกับแนวทางการพัฒนากำลังพลที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง เพื่อให้การดำเนินงาน
เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
๕. การจัดโครงสร้างสถาบันการศึกษาให้สามารถทำการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น การจัดโครงสร้างให้มีแท่งสายงานครูอาจารย์ทำหน้าที่สอน แยกจากฝ่ายบริหาร
๖. การพัฒนาครูอาจารย์ด้วยการส่งเข้ารับการศึกษาในสถาบันที่มีการสอนเกี่ยวกับการ
อำนวยการและการปฏิบัติการร่วมของต่างประเทศเพื่อให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับมาทำการสอนได้
อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการให้บุคลากรทางการศึกษาที่ทำหน้าที่สอนได้ไปศึกษาดูงานหรือ
สังเกตการณ์การปฏิบัติในสถาบันที่มีการสอนเกี่ยวกับการอำนวยการและการปฏิบัติการร่วมของ
ต่างประเทศ
๗. การพัฒนา รปจ. หรือคู่มือการปฏิบัติงานของ ศบท. ทุกสายงาน ของกรมเสนาธิการ
ร่วมให้มีความชัดเจน สามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอนของหลักสูตรได้
๘. ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารับ
การศึกษาในหลักสูตรตามแนวทางรับราชการของนายทหารระดับชั้นสัญญาบัตรเท่านั้น หากต้องการนำ
ผลการศึกษาที่ได้ไปใช้ขยายผลในการอ้างอิงถึงกำลังพลระดับอื่นๆ เช่น ระดับนายทหารชั้นประทวน
จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในผู้ที่เกี่ยวข้องกลุ่มอื่นๆด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและสามารถสรุปผล
อ้างอิงได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับการวิจัยครั้งต่อไปควรมีการศึกษาวิจัยและจัดทำหลักสูตรตามแนวทางรับราชการ
ในระดับนายทหารชั้นประทวนต่อไป เนื่องจากกลุ่มของนายทหารชั้นประทวนเป็นกำลังพลที่มีจำนวน
มากพอสมควรและเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนกองบัญชาการกองทัพไทย
และเพื่อพัฒนากำลังพลให้มีสมรรถนะตามที่กองบัญชาการกองทัพไทยต้องการ
abstract:
Abstact
Title : Personnel Career Development for the beginning officers in the Royal
Thai Armed Forces Headquarter
By : Col Somjade Suntorntham
Major Field : Electrocal Engineering
Research Advisor : Col
(Komsal Jiamwatthanaloet)
April 2019
This research "Personnel Career Development for the beginning officers in
the Royal Thai Armed Forces Headquarter" is a qualitative research. The research aims
are to study the current problems of personnel career development for officers in the
Royal Thai Armed Forces Headquarter (RTARF), to study the guidelines for developing
military personnel at the commissioned level of other Royal Thai forces, and to
develop and improve the personnel development system of personnel career
development for the beginning officers in the Royal Thai Armed Forces Headquarter.
This research uses data collection from related documents, delivering policies from
commanders and a focus group method. The population used in the research is the
Chief of Defense Forces, Chief of Staff and a representative of the 55 personnel in the
Royal Thai Armed Forces Headquarters
This research found that personnel career development for the beginning
officers in the Royal Thai Armed Forces Headquarter should be implemented with the
course called "Joint Operation" as the core course. Moreover, this should be more
complement courses that focus on the personnel development according to a performance system especially, Core Competency which includes Sacrifice, Moral,
accountability, Result Oriented, Teamwork and Managerial Competency. The Royal Thai
Armed Forces Headquarters has 10 Managerial Competency areas which are
Leadership, Vision, Strategic Planning, Change Leadership, Coaching and Delegation, Self
– Control, Problem Solving and Decision Making, Monitoring Control and Evaluation,
Administration and Resource allocation, Holding People Accountable, as fundamentals.
Then, there is the time for increase knowledge according to the Functional Area
Including the personnel development at a higher level. The content of the "Joint
Operation" course should include staff operation, joint / combine operation,
fundamentals of military operations of the other Royal Thai forces, field trips outside
the academy / countries, foreign language especially English, writing official documents,
national strategy, information technology, communication and coordination. The other
subjects are history, cultivating patriotic ideology, leadership, voluntary, international
relations, and budgeting.
Suggestions for this research, the researcher has suggestions for personnel
career development for the beginning officers in the Royal Thai Armed Forces
Headquarter as follows:
1. High level commanders of the Royal Thai Armed Forces Headquarter
must provide serious and continuous support. Other units involved in this policy
formulation should guideline, regulate and follow-up this operations closely including
critically evaluate the performance.
2. In the preparation of "Joint Operation" course or the military personnel
career standard courses for RTARF personnel, this should determine the course
content to be appropriate in accordance with the responsibility, mission, and can be
compared to the course of the other Royal Thai forces so that RTARF personnel will
gain the necessary knowledge and skills, and finally can compete and work with the
other Royal Thai forces’ personnel.3. In addition to the preparation of RTARF personnel career development
courses or "Joint Operation" course to develop personnel to meet the core
competency of 23 functional areas, this should have the development of personnel in
the functional areas for improving knowledge and ability to meet the performance in
the duties (Functional Competency) accordingly.
4. Relevant government units should improve the regulations and
transferring conditions to be compatible which will support the approach of developing
personnel that are changing. Therefore, the operation is in the same direction.
5. The structure of educational institutions must able to assist an effective
teaching such as the structure of the teaching duty should be separated from the
management duty.
6. The development of teachers by sending them to study in the
institutions that are teaching about the staff operations and joint operation of foreign
countries in order to be able to use the knowledge gained to teach effectively.
Moreover, this includes the provision of educational personnel to study or observe
practices in institutions that are teaching about the staff operations and joint operation
of foreign countries.
7. Development of the standard of procedure or the operation manual of
the Military Command Center (MCC) of each joint operation directorate has to be clear
and can be implemented in the course.
8. In this research study, the data has been collected from sample groups
related to an admission to the RTARF personnel career development courses of the
commissioned officers only. If we would like to apply the results of studies that can be
used to extend the results of other military-level references, such as noncommissioned officers, there should be additional studies in other related groups as well. As a result, we will gain more comprehensive information and can summarize
more references.
For further research, there should be further study, research and
preparation of the RTARF personnel career development courses at the level of noncommissioned officers because the group of non-commissioned officers has a fairly
large number of personnel. This group of personnel is one of the most important
factors to drive RTARF to succeed, and finally to develop the RTARF personnel to be
competent as required by the Royal Thai Armed Forces Headquarter.
