เรื่อง: ปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กับแนวโน้มการแบ่งแยกตัวตามหลักการกำหนดใจตนเอง ของประชาชนในอนาคต
|
หมวดหมู่:
|
งานวิจัย
|
มิติ:
|
ไม่ระบุ/not specified
|
พื้นที่/ขอบเขต:
|
ภายในประเทศ/Domestic/Local
|
ผู้เขียน:
|
วิทยาลัยเสนาธิการทหาร, พ.ต.อ. ขวัญชาติ ไขแสง
|
หน่วยงานเจ้าของ:
|
วิทยาลัยเสนาธิการทหาร
|
ปีที่พิมพ์:
|
2551
|
จำนวนหน้า:
|
|
การเปิดเผยข้อมูล:
|
เปิดเผยเฉพาะบางส่วน (ไม่เปิดเผยเนื้อหา)
|
|
บทคัดย่อ:
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง :
โดย : พันต ำรวจเอก ขวัญชำติ ไขแสง
สาขาวิชา : การทหาร
อาจารย์ที่ปรึกษาเอกสารวิจัย : พันเอก
(กิตติภัค ทองธีรธรรม)
กรกฎาคม ๒๕๕๓
ปัญหาการก่อความไม่สงบในพ้ืนที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งหมายถึงจังหวัดยะลา
ปัตตานี นราธิวาส และ ๔ อ าเภอของจังหวัดสงขลา (จะนะ, นาทวี, เทพา และ สะบ้าย้อย) เป็ น
ปัญหาด้านความมนั่ คงที่ส าคญั ยิ่งของรัฐบาลไทยมาทุกยุคทุกสมยั โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบนั
หลังเหตุปล้นอาวุธปื นกองพันทหารที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๗ เรื่อยมา
เหตุการณ์ไดท้ วีความรุนแรงข้ึน ถึงแมร้ะยะหลงัจะควบคุมสถานการณ์ไดบ้ า้งแต่ทางรัฐบาลไทยก็
เป็นฝ่ายต้งัรับมากกว่า โดยเฉพาะฝ่ายผูก้่อความไม่สงบได้พยายามยกระดับความขดัแยง้ในพ้ืนที่
ซึ่งรัฐบาลไทยถือว่าเป็ นความขัดแยง้ภายในให้ข้ึนสู่เวทีระดับโลกเช่น องค์การสหประชาชาติ,
องค์การประเทศมุสลิมโลก, อาเซียน ฯลฯ เพื่อน าไปสู่การลงประชามติว่าจะอยู่กับรัฐไทยหรือแยก
ไปปกครองตนเอง ดังเช่นที่เกิดมาแล้วที่ประเทศติมอร์ตะวันออก, บอสเนีย หรือกัมพูชา จนมี
ตัวแทนองค์การระหว่างประเทศ, ผู้ศึกษาค้นคว้าอิสระ เข้ามาศึกษารวบรวมข้อมูลว่าความขัดแย้งใน
พ้ืนที่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเพียงพอ ตามหลักเกณฑ์การก าหนดใจตนเองของ
สหประชาชาติหรือไม่เพียงไร อยู่ในพ้ืนที่บางส่วนแลว้ เพื่อเป็นการศึกษาวิจัยในเชิงป้องกันมิให้
ดินแดนแห่งน้ีถูกแยกตวัออกไปเป็นอิสระ จึงได้ท าการศึกษาตามหัวข้อ “ปัญหาการก่อความไม่
สงบในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กับแนวโน้มการแบ่งแยกตวั ตามหลกัการกา หนดใจตนเอง”
ห รื อ The Problem of Southern Border Provinces Terrerist and The Principle of Self
Determination For The People in the Future
ผลการศึกษาตามเหตุการณ์คร้ังแรกที่ถือว่ามีการเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดน คือกบถ
ดุชงญอ ที่ จ.นราธิวาส เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑ จนถึงเหตุการณ์ตากใบ, กรือแซะ แรสังหารหมู่ที่มัสยิสไอปาแย ฯลฯ ยังไม่ข้อเท็จจริงหรือความรุนแรงเพียงพอที่จะกล่าวหารัฐไทย ในการล่วงละเมิดด้วย
กา ลงัทหารโดยผิดกฎหมาย เช่นการกดขี่ด้านเช้ือชาติศาสนา วฒั นธรรม ยงัถือเป็นความขดัแยง้
ภายในประเทศที่รัฐบาลไทยพยายามแก้ไขตามหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี น าหลักนิติธรรมมา
เป็ นหลักในการด าเนินคดีอาญา และที่ส าคัญที่สุดคือการโน้มน าเอาพระบรมราโช วาทของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันที่ว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาใช้เป็ นหลักในการ
แก้ปัญหา ถึงแมว้่าจะยงัปรากฏข่าวสารการก่อเหตุหรือละเมิดต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพยส์ิน ท้งัต่อ
ฝ่ ายผู้ก่อความไม่สงบหรือเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เนือง ๆ แต่เป็ นการขัดแย้งในระดับธรรมดา จาก
ขอ้ เท็จจริงที่เกิดข้ึนในทางประวตัิศาสตร์ ซ่ึงท้งัรัฐไทยและรัฐปัตตานีมีสภาพเป็นเพียงนครรัฐ
(city State) ไม่ใช่รัฐชาติสมัยใหม่ (Nation State) เช่นในปัจจุบัน การผนวกหรือรวมดินแดนใน
อดีตเป็นเพียงการยอมรับในอ านาจและ...ของรัฐไทยที่ใหญ่กว่าเท่าน้ัน มิได้เป็นการใช้กา ลงัรุกล้า
กดขี่ข่มเหงดังเช่นที่อินโดนีเซียปฏิบัติต่อติมอร์ หรือเวียดนามปฏิบัติต่อกัมพูชา แต่อย่างใด เมื่อ
พิจารณาจากบทบัญญัติหรือหลักเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ในสิทธิการก าหนดใจตนเอง (The Right of
Self – Determination) ตามมติของสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติที่ ๑๕๑๔ (XV)ลงวันที่ ๑๔
ธันวาคม ๑๙๖๐ เรื่องการให้เอกราชแก่ดินแดน อาณานิคม (Declaration on the Granting of
Independence to Colonial Countries and Peoples) ท้งัปัจจัยภายใน คือประชาชนในพ้ืนที่ยงัมี
สิทธิอิสระในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ฯลฯ เช่นเดียวกับพ้ืนที่อื่น ๆ ในประเทศไทย ถึงแม้
จะอ่อนด้อยอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในระหว่างการพัฒนาปรับปรุงแก้ไขอย่างที่ปรากฏ ส่วนปัจจัยภายนอกที่
จะถือว่าทางรัฐบาลไทยท าการผลักดัน แทรกแซงโดยกองก าลังอาวุธจากภายนอก (Foreign Arman
Intervention) และยึดครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (Occupation) ดังที่ปรากฏในกัมพูชาหรือติมอร์
ตะวันออกก็มิได้ เนื่องจากอดีตและปัจจุบันของรัฐไทยก็มีความสัมพันธ์แบบหลวม ๆ กลมกลืนกัน
มาจนเกิดเป็ นรัฐชาติ (NATION STATE) สมัยใหม่ร่วมกัน คือเป็ นส่วนหนึ่งซึ่ งกันและกันมาแต่
อดีต มิได้ถือว่าเป็นการใช้ก าลังรุกรานด้วยก าลังอาวุธและยึดครอง แต่การด ารงก าลังทหาร, ต ารวจ
ไวใ้นพ้ืนที่จา นวนมากก็เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาความขดัแยง้ภายในประเทศเท่าน้ัน จึงไม่ถือว่า
เข้าหลักเกณฑ์ที่จะลงประชามติเพื่อก าหนดใจตนเองแต่อย่างใด
ปัญหาการก่อความไม่สงบในพ้ืนที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงแม้ว่า ณ ปัจจุบันยัง
ไม่มีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานเพียงพอที่จะน าไปสู่การแยกตัวไปเป็ นอิสระ ตามหลักการก าหนดใจ
ตนเอง (The Principle of Self Determination) แต่ฝ่ ายตรงข้ามยังคงด ารงเป้าหมายในการแยกตัว
เป็นรัฐอิสระอยู่ตลอดเวลา ดังน้ันรัฐบาลไทยจึงจ าเป็ นต้องศึกษาวิจัยปัญหา สาเหตุ และแนวทาง
การแก้ไข ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีปัญหาหลักมาจากกระบวนการแบ่งแยกดินแดน น าโดย B.R.N.
COORBINATE เป็นแกนน าก่อเหตุร้ายรายวนั หรือจบัอาวุธข้ึนต่อสู้กบั เจ้าหนา้ที่รัฐ โดยมีปัญหารองคือการบริหารจัดการที่ด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาลไทย ในด้านการศึกษา, การแพร่ระบาดยา
เสพติด, พฤติการณ์ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่รัฐ, ความล้มเหลวในการน านโยบายน าไปสู่การ
ปฏิบัติ, ขาดเอกภาพ, ความไม่เป็ นธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย และปัญหาเสริมด้านความเหลื่อม
ล้า และไม่เข้าใจด้านการเมือง, ประวตัิศาสตร์,ความยากจน, มุมมองทางจิตวิทยาเชิงลบระหว่าง
วฒั นธรรม ฯลฯ จึงเห็นควรแกไ้ขโดยใช้มาตรการเชิงรุกแบบคู่ขนานท้งัการเมืองและการทหารคือ
การเมืองยึดแนวทางสมานฉันท์, สันติวิธี เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา อย่างเขม้แข็งและยงั่ ยืน ประสาน
กับมาตรการทางทหาร คือปราบปรามกองก าลังติดอาวุธทุกกลุ่ม เพื่อท าลายโครงสร้างสงครามที่
ขบวนการแบ่งแยกดินแดนก่อข้ึนอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ยงั่ ยืน จึงจะสามารถยุติปัญหาน้ีลงได้
ABSTRACTTitle :
By : Police Colonel
Major Field : Military
Research Advisor : Colonel
(Kittipuak Thongteerathum)
July 2010
abstract:
ไม่มี